วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 2 ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้นถึงช่วงหลังสงครามโลกคร้งที่ 2

การท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยอาณาจักร บาบิโลเนียน (Babylonian) และอาณาจักรอียิปต์ (Egyptian) หลังฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ก็คือ ได้มีการก่อตั้งพิพิธณฑ์โบราณวัตถุ (Historic antiquities)

อาณาจักรอิยิปต์

หลักฐานก็คือได้มีการก่อตั้งพิพิธพัณฑ์โบราณวัตถุ(historic antiquities) เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าขมในนครบาบิโลน ชาวอิยิปต์เมื่อ2600 ปีมาแล้วก็มีการจัดงานเทศกาลด้านศาสนา และได้เคยใรการค้นพบข้อความท นักเดินทางชาวอิยิปต์ได้บันทึกไว้เมื่อ 2000 ปีก่อนคริสตกาลด้วยนักท่องเที่ยวชาวกรีกมีการ เดินทางเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล นิยมเดินทางไปยังที่ที่เชื่อ ว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าที่ทำการบำบัดรักษา โรค และด้านกีฬาในช่วง 500 ปีก่อนตริสตกาล กรุงเอเธนส์ และมีที่พักแรมประเถทต่างๆ

อาณาจักรโรมัน

ชาวโรมันมีการเดินทางอย่างกว้างขวางตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนิยมเดินทางไปพักร้อนบนภูเขา และพากันไปเที่ยวที่อ่าวเมืองเนเปิล มีการสร้างบ้านพักและวิลล่าที่สวยงาม ชาวโรมันมีอำนาจในการซื้อมากและเป็นนักล่าของที่ระลึกชาติแรกๆของโลก ในสมัยอาณาจักรโรมัน มีทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ไร้พรมแดนไม่เหมือนในปัจจุบัน ทุกแห่งในตอนนั้นใช้เงินตราของโรมัน ภาษาละตินใช้กันอย่างกว้างขวาง

มัคคุเทศก์และคู่มือนำเที่ยวในยุคต้นๆ

หนังสือคู่มือนำเที่ยวปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเอเธนส์ สปาร์ตา และเมืองทรอย ประกอบด้วยรายชื่อที่พัก หร้อมสัญลักษณ์บอกเกรดของที่พักเหล่านั้น

การท่องเที่ยวในยุคกลาง (ระหว่าง คศ.500-1500)

จากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันหรือยุคมืด ช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจตกต่ำ การเดินทางลำบากมากขึ้น อันตรายมากขึ้น วันหยดเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คน ศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นผู้กำหนดวันหยุดพักผ่อนให้กับผู้ คนที่ศรัทธาในศาสนา ซึ่งในปีหนึ่งมีวันหยุดเพิ่มมากขึ้นถึง 33 วัน คนชั้นสูงและกลางนิยมเดินทางเพื่อแสวงบุญและบันเทิงควบคู่ไปด้วย เช่นเมือง Winchester เพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า ปัญหาคือเจอโจรดักปล้น มัคคุเทศก์จึงต้องทั้งนำทางและปกป้องผู้เดินทางด้วยค่าจ้างจึงแพงมาก เท่ากับครึ่งหนึ่งของเราคาอูฐหนึ่งตัว และเกิดร้านขายของที่ระลึกขึ้น ผลของการเดินทางเพื่อจารีกแสวงบุญ คือ การแสวงบุญ, ความหมายทางด้านจิตใจ, ต้องการให้คนอื่นเห็นความสำเร็จในรูปแบบของที่ระลึก

การพัฒนาการคมนาคมทางถนนในคริสตศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18

การพัฒนารถม้า4ล้อที่มีระบบกันสะเทือนด้วยสปริง ในศตวรรษที่18มีระบบทางด่วน ที่จะต้องจ่ายค่าผ่านทาง คศ.1815 ถนนมีการพัฒนาดีขึ้น หลุมบ่อลดน้อยลงมีการนำยางมะตอยมาใช้ แกรนด์ทัวร์ (Grand Tour) เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ในต้นศตวรรษที่18 ผู้คนที่ร่ำรวยมีมากขึ้นทั่วอังกฤษ คนชั้นสูงนิยมส่งลูกชายไปเรียนต่างประเทศพร้อมอาจารย์ประจำ ตัว เรียกว่าการเดินทางแบบแกรนด์ทัวร์ จนในปี คศ.1749 Dr.Thomas Nugent ได้ตีพิมพ์หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวชื่อว่า The Grand Tour ซึ่งหนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษามากขึ้น และกลายเป็นความนิยมทางสังคม เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 18 ความนิยมในการเดินทางก็กลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ

การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทที่อาบน้ำแร่

(Spa)เป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่ในสมัยยุคโรมันแต่ก็ความนิยมก็ได้ลดลงในยุคหลังๆจนในปีคศ.1562 Dr.William Turner ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำแร่ที่เมือง Bath และอื่นๆในทวีปยุโรปว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้ ทำให้แหล่งน้ำแร่กลายมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง การเดินทางไปรับการบำบัดด้วยน้ำแร่ได้กลายมาเป็นสถานภาพทางสังคมอย่างรวด เร็ว ทำให้บ รรดาสถานบำบัดทั้งหลายเปลี่ยนโฉมหน้าจากสถานรักษาสุขภาพไปเป็นสถานที่ เพื่อความเพลิดเพลินแทน เมื่อปลายศตวรรษที่ 18 ยุคเฟื่อฟูของบ่อน้ำแร่ในอังกฤษถูกลดความนิยมลง แหล่งท่องเที่ยวประเภทสปากลายเป็นเมืองของผู้สูงอายุแทน และในขณะเดียวกันธุรกิจประเภทบ้านพักตากอากาศชายทะเลก็ได้รับความนิยมมากกว่าสปา

กำเนิดยุคสถานที่ตากอากาศชายทะเล

ความคิดที่ว่าการอาบน้ำทะเลจะทำให้สุขภาพดีขึ้นเป็นที่ยอมรับกันในตอนต้นของ ทศวรรษที่ 18 ระยะนี้สถานที่ตากอากาศชายทะเลในเกาะอังกฤษก็เริ่มผุดขึ้น เมือง Scarborough เป็นเมืองแรกที่คนนิยมไปบำบัดโรคด้วยน้ำทะเล ซึ่งความนิยมได้เริ่มต้นขึ้นราวทศวรรษที่ 1730 Dr.Richard Russel ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยน้ำทะเลขึ้นใน คศ.1752 ทำให้การอาบน้ำทะเลเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมาก ซึ่งใน ฝรั่งเศสสามารถจัดหาให้ได้ ทำให้จากปี 1880 เป็นต้นไป รถไฟสายสีน้ำเงินก็จัดรถนอนที่หรูหรา นำนักท่องเที่ยวจากปารีสไปสู่ริเวียร์ร่าในทั้ง หน้าร้อนและหน้าหนาว

ปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเทียวในศตวรรษที่ 19

เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเดินทาง และปัจจัยที่ดึงดูดให้คนเดินทาง ในการเดินทางนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ เงินและเวลามากพอที่ใช้ในการเดินทางแต่ละครั้งซึ่งในอดีตสองสิ่งนี้ก็เอื้อ เพียงแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น และสิ่งที่สำคัญเท่าๆกับเวลาและเงินก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง เช่นยานพาหนะที่พวกเขาสามารถจ่ายได้ รวดเร็ว ปลอดภัย สะดวกสบาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันพึ่งจะเริ่มมีในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ข้อจำกัดอีกอย่างก็คอโรคภัยไข้เจ็บ อัตตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา

ยุคของเครื่องจักรไอน้ำ : กำเนิดการเดินทางโดยรถไฟ



ทางรถไฟสายแรกถูกสร้างขึ้นในประเทศอังกฤษปี คศ.1825 ตรงกับมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีทางรถไฟเชื่อเมืองใหญ่ๆ และเมืองอุตสาหกรรม และในยุโรปและเกือบทั่วไปในโลก ส่วนใน สหรัฐอเมริกามีบริการรถไฟเริ่มราวทศวรรษ ที่ 1820 และเชื่อมถึงฝั่งตะวันตกเสร็จในปี 1869 ในอังกฤษรถไฟถูกใช้ทั้งการค้าและธุรกิจ Thomas Cook ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการคนแรกที่ได้จัดพาทัวร์สมาชิกของสมาคม เดินทางจาก Leicester ไปยัง Loughborough ในราคา 1 ชิลลิ่งหรือ 5 เพนนี และในปี 1845 เขาก็จัดทัวร์เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ ทำให้คนอื่นจัดตามเขา เขาจะติดต่ออย่างใกล้ชิดกับบรรดาโรงแรมรถไฟ และเขาจะร่วมเดินทางไปกับลูกทัวร์เพื่อลดความกังวลของลูกทัวร์และนำเอา hotel voucher มาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1876 และในตอนกลางคริสตศตวรรษที่ 18 การประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปก็เป็นผลสำเร็จ ทำให้เดิกการเดินทางเพื่อความมีหน้ามีตา และเก็บหลักฐานที่ตนไปมาให้คนที่ไม่ได้ไปเห็นถึงความสำเร็จของการเดินทาง

เรือกลไฟ


บริษัท แรกที่เปิดให้บริการเรือกลไฟระยะไกลคือ Pand O เริ่มเปิดเส้นทางไปยังอินเดียและตะวันออกไกล ประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกที่เปิดให้บริการเรือน้ำลึก จึงจัดวาเป็นมหาอำนาจทางการขนส่งทางทะเลในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 แต่ก็มีคู่แข่งในทวีปอเมริกาเหนืออีกหลายบริษัท ในปี คศ.1869 คลองสุเอซได้เปิดให้เรือผ่านเป็นครั้งแรก และใรตนอลกางศตวรรษที่ 20 ความรุ่งเรืองของการเดินเรือก็ลดลงเมื่อมีการเปิดบริการด้านการบิน Thomas Cook

การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 20 (1901-2000)ช่วง 50 ปีแรก

สถานที่ตากอากาศในริเวียร่าของฝรั่งเศสเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องที่ยวฐานะดี ทศวรรษที่ 1920 เกิดการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อรูปแบบการเดินทางเปลี่ยนไปผู้คนนิยมหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น มีการพัฒนาถนน นำรถบรรทุกที่ขนสัมภาระในสงครามทำเป็นรถโค้ช ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วง 1920 และต่อมาบริษัท Henry Ford ในอเมริกา ผลิตรถยนต์รุ่น Model T ในราคาที่ใครก็เป็นเจ้าของได้ เป็นครั้งแรก ทำให้การเดินทางโดยรถไฟลดน้อยลง และการบินเพื่อการพาณิชย์ได้เริ่มเป็นครั้งแรกในปี 1919 ในทวีปยุโรป สายการบินของอเมริกา Pan American Airways เริ่มบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกในปี 1930 โดยในระยะแรกเพื่อการขนส่งจดหมายและไปรษณีย์ภัณฑ์ จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พัฒนามากถึงขนส่งผู้โดยสารได้

การท่องเที่ยวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ผู้คนเริ่มสนใจการเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น การเดินทางที่สำคัญคือการเดินทางระยะไกลด้วยเครื่องบิน การบินเที่ยวแรกเป็นการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างนิวยอร์คในอเมริกา กับเมืองปอร์ธสมัธของอังกฤษ ต่อมา Harold Bamberg, Freddie Laker ในปีคศ.1958 ได้มีการนำเครื่องบินไอพ่นโบอิ้ง 707 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางทางอากาศแบบมหาชนเป็นครั้งแรก และในต้นปี 1970 มีการนำเครื่องบินที่เร็วกว่าเสียง คือ เครื่องบินคองคอร์ดมาใช้ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส บินระหว่างลอนดอนและปารีสและนิวยอร์ค ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจเท่านั้น ในปีเดียวกันมีการเปิดตัวเครื่องบินเจทบรรจุผู้โดยสารได้ถึง 400 คน และ Thomas Cook ได้จัดทัวร์เหมาลำด้วยเครื่องบิน พานักท่องเที่ยวจากนิวยอร์คไปชิคาโก เพื่อดูการแข่งขันชกมวย นับว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลากหลายประเทศ ที่นิยมจัดทัวร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น